อาการ
จะมีอาการแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มที่เกิดอาการทั่วร่างกาย เป็นกลุ่มที่พบได้มากที่สุด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีไข้เหมือนกับโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ
-ในระยะเริ่มแรก ผู้ป่วยจะมีอาการขากรรไกรแข็ง (Lockjaw) เนื่องจากกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยวเกิดการหดเกร็งและแข็งตัว ทำให้มีอาการขยับปากไม่ได้ กลืนลำบาก ทำท่าเหมือนยิ้มแสยะ ผู้ป่วยอาจมีอาการกระสับกระส่าย ต่อมาผู้ป่วยจะมีอาการหดเกร็งและแข็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณคอ หน้าอก หน้าท้อง หลัง แขนและขา ทำให้มีอาการคอแข็ง ท้องแข็ง หลังแอ่น (Opisthotonus)
-อาการชักเกร็งของแขนขาและกล้ามเนื้อทุกส่วนจะเกิดขึ้นเป็นพัก ๆ เพียงช่วงสั้น ๆ เมื่อถูกสิ่งที่มากระตุ้น เช่น การได้ยินเสียงดัง ๆ การถูกสัมผัสตัว แสงสว่างเข้าตาจากแสงแดดหรือแสงไฟจ้า เป็นต้น และในขณะที่มีอาการหดเกร็งและแข็งตัวของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นนั้น ผู้ป่วยบาดทะยักจะมีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต่างจากโรคลมชัก โรคสมองอักเสบ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่ผู้ป่วยจะไม่ค่อยรู้สึกตัว และทุกครั้งที่ชักจะรู้สึกปวดมาก
-ถ้าอาการหดเกร็งและแข็งตัวของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นยาวนาน ผู้ป่วยจะหายใจได้ลำบาก ทำให้ขาดอากาศและตัวเขียว ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง คือกล้ามเนื้อทั้งตัวหดเกร็งและแข็งตัวอย่างรุนแรงพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และทำให้กล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจทำหน้าที่ตามปกติไม่ได้ หลอดลมหดเกร็ง จนเกิดภาวะหายใจล้มเหลวตามมาและเสียชีวิตในที่สุด
-ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการของระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแขนขาหดตัว หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ หรืออาจเกิดหัวใจหยุดเต้น มีไข้สูงมาก และหรือมีเหงื่อออกทั่วตัว
-บาดทะยักที่เกิดขึ้นในเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งเกิดจากการใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือประกอบกับการที่มารดาไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก จึงไม่มีภูมิคุ้มกันที่จะส่งต่อให้ลูกได้ โดยอาการที่เกิดขึ้นคือ เด็กทารกมักมีอาการร้องกวน ไม่ยอมดูดนม อ้าปากไม่ได้ มีการหดเกร็งและแข็งตัวของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายเกิดขึ้น ซึ่งมักจะเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงประมาณ 50-80% แต่ถ้าสามารถมีชีวิตรอดจากโรคนี้มาได้ ก็มักจะมีปัญหาด้านการเจริญเติบโตและสติปัญญา
2.กลุ่มที่เกิดอาการแบบเฉพาะที่ เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่พบได้ค่อนข้างน้อย จะมีแค่อาการหดเกร็งและแข็งตัวของกล้ามเนื้อใกล้บริเวณบาดแผลเท่านั้น ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อที่ไม่รุนแรงและหายไปได้เอง (พิษของเชื้อจะไม่ลุกลามเข้าสู่สมองและไขสันหลัง) มีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 1%
3.กลุ่มที่เกิดอาการแบบเฉพาะที่ศีรษะ เป็นกลุ่มที่พบได้น้อยมาก เกิดจากผู้ป่วยมีอุบัติเหตุที่ศีรษะหรือจากการติดเชื้ออักเสบของหูชั้นกลาง ทำให้พิษของเชื้อเข้าสู่เส้นประสาทบริเวณใบหน้าและอาจลุกลามเข้าสู่สมอง ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอัตราการเสียชีวิตสูง
การติดต่อ
เชื้อโรคบาดทะยักเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลที่ผิวหนัง โดยสปอร์ของเชื้อจะปนเปื้อน กับดิน ฝุ่น หรือโดยการฉีดยาที่เข็มฉีดยาปนเปื้อนกับฝุ่น เชื้ออาจเข้าสู่ร่างกายโดยการผ่าตัดได้ โดยทั่วไปเชื้อ บาดทะยักจะเจริญเติบโตได้ดีในบาดแผลลึก แคบ มีเนื้อตายหรือสิ่งแปลกปลอมอยู่เพราะเชื้อนี้เป็นเชื้อที่ไม่ต้อง การออกซิเจน หรืออากาศในการเจริญเติบโต เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะยังไม่ไปส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่จะ แข็งตัวและเจริญเติบโตอยู่ในส่วนของแผลที่อากาศเข้าไม่ถึงแล้วปล่อยสารพิษออกมา ซึ่งมีผลต่อระบบประสาท โดยปกติเชื้อบาดทะยักจะมีระยะฟักตัวนาน 3-21วัน (เฉลี่ย 10 วัน) อาจสั้นเพียงแค่ 1 วัน หรือนานกว่า ขึ้นอยู่กับ ลักษณะของบาดแผล ความรุนแรงตำแหน่งของบาดแผล โดยทั่วไปผู้มีระยะฟักตัวสั้น จะมีอาการรุนแรงมาก
กลุ่มเสี่ยง
พบได้ในคนทุกวัย ส่วนมากผู้ป่วยจะมีประวัติมีบาดแผลตามร่างกาย (เช่น ตะปูตำ หนามเกี่ยว มีบาดแผลสกปรก หรือขาดการดูแลแผลอย่างถูกต้อง) และไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน
พฤติกรรมเสี่ยง
1.มีแผลสดที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่างๆ และไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดีพอ มีฝุ่น น้ำลาย หรือสิ่งของสกปรกติดค้างอยู่ภายในบาดแผล
2.มีแผลที่เกิดจากการถูกวัสดุที่ไม่สะอาดทิ่มตำหรือบาด เช่น ตะปูขึ้นสนิม กิ่งไม้ มีดขึ้นสนิม
3.มีแผลที่เกิดจากสัตว์ที่เป็นพาหะของเชื้อเช่น หนู ตุ๊กแก ค้างคาว หรือหมาแมวก็อาจเป็นพาหะของโรคได้เช่นกัน
การป้องกัน
- ในเด็กเล็กควรได้รับการฉีดวัคซีนรวมป้องกันคอตีบ บาดทะยัก และไอกรนการฉีดวัคซีนบาดทะยัก ตั้งแต่อายุได้ 2, 4 และ 6 เดือน และเพิ่มอีก 2 ครั้ง เมื่ออายุ 1 ปีครึ่ง และอายุ 4-6 ปี หลังจากนั้นก็ให้ฉีดกระตุ้นทุก ๆ 10 ปี* (ส่วนในผู้ที่ไม่เคยฉีดตอนเด็กมาก่อน ควรฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักให้ครบตามกำหนดและควรฉีดกระตุ้นทุก ๆ 10 ปี)
- ผู้ป่วยทั่วไปหรือในเด็กที่มีอายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปที่มีบาดแผล หากเคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาแล้ว 3 ครั้งหรือมากกว่า ถ้าเป็นกรณีที่มีบาดแผลเล็กน้อยและสะอาดให้ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก (ขนาด 0.5 มิลลิลิตร) กระตุ้น 1 เข็ม แต่ถ้าได้รับการฉีดเข็มสุดท้ายไม่เกิน 10 ปี ก็ไม่ต้องฉีด ส่วนในกรณีที่เป็นบาดแผลอื่น ๆ เช่น บาดแผลที่แปดเปื้อนดินโคลน ฝุ่น น้ำลาย มูลสัตว์ อุจจาระคน บาดแผลจากการถูกสัตว์กัด บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก บาดแผลจากอาวุธ บาดแผลจากการบดขยี้ บาดแผลจากเศษแก้วในกองขยะ บาดแผลที่ถูกตำ หรือบาดแผลที่ลึกและแคบ ให้ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก (ขนาด 0.5 มิลลิลิตร) กระตุ้น 1 เข็ม แต่ถ้าได้รับการฉีดเข็มสุดท้ายไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีด และทั้งสองกรณีไม่ต้องฉีดยาต้านพิษบาดทะยัก (HTIG หรือ TAT) แต่อย่างใด
- ส่วนผู้ป่วยทั่วไปหรือในเด็กที่มีอายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไปที่มีบาดแผลและเคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักน้อยกว่า 3 ครั้ง หรือไม่ทราบประวัติการได้รับวัคซีนแน่ชัด ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลเล็กน้อยและสะอาดหรือบาดแผลอื่น ๆ ตามที่กล่าวมา ก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก (ขนาด 0.5 มิลลิลิตร) 1 เข็ม และต่อไปให้ฉีดซ้ำอีก 2 เข็มทุก 1 เดือน รวมเป็น 3 เข็ม นอกจากนี้ถ้าเป็นบาดแผลอื่น ๆ ตามที่กล่าวมาก็ควรได้รับการฉีดยาต้านพิษบาดทะยัก (HTIG หรือ TAT) เพิ่มเติมด้วย แต่ถ้าเป็นบาดแผลเล็กน้อยและสะอาดก็ไม่ต้องฉีดยาต้านพิษบาดทะยักแต่อย่างใด
- สำหรับหญิงตั้งครรภ์ หากไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน ควรฉีดวัคซีนรวม 3 เข็ม โดยในเข็มแรกให้เริ่มฉีดเมื่อมาฝากครรภ์เป็นครั้งแรก ส่วนเข็มที่ 2 ให้ฉีดห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 1 เดือน และเข็มที่ 3 ให้ฉีดห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 6 เดือน จากนั้นให้ฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี (ถ้าฉีดไม่ทันในขณะตั้งครรภ์ก็ให้ฉีดหลังคลอด) ส่วนในกรณีที่เคยได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้ว 1 เข็ม ควรฉีดอีก 2 เข็ม โดยให้ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน (แต่ถ้าเคยได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม ควรให้ฉีดอีก 1 เข็ม โดยให้ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน) จากนั้นให้ฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี ส่วนในกรณีที่เคยได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อนอย่างน้อย 3 เข็ม และเข็มสุดท้ายฉีดมานานกว่า 10 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีก 1 เข็ม และให้ฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี สำหรับในเรื่องของการทำคลอดหญิงตั้งครรภ์ควรคลอดกับบุคลากรที่รู้จักรักษาความสะอาดในการทำคลอด ถ้าจำเป็นต้องคลอดกันเองที่บ้านก็ควรใช้กรรไกรที่ผ่านกรรมวิธีในการฆ่าเชื้อแล้วมาตัดสายสะดือเด็ก และควรทำความสะอาดสะดือของเด็กทารกอย่างถูกต้องด้วย
- เมื่อมีบาดแผลที่ถูกตะปูตำ หนามตำ สัตว์กัด ไฟไหม้น้ำร้อนลวก หรือบาดแผลสกปรก ควรชะล้างบาดแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ทันที และควรพิจารณาเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักตามคำแนะนำที่กล่าวมา เพราะอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเชื้อบาดทะยักสามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานเป็นปี ๆ มีความทนทานต่ออุณหภูมิ ความชื้น และสารเคมีฆ่าเชื้อ ดังนั้นการล้างแผลเองด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือเบตาดีน จึงไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคที่บาดแผลให้หมดไปได้ การฉีดวัคซีนจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรกระทำ
ที่มารูปภาพ : http://beezab.com
ที่มาวีดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=izBLohgKAv8